น้ำตกท่าแพ

เมื่อนึกถึงน้ำตกสวยๆของจังหวัดนครศรีธรรมราช แน่นอนว่าเราคงมี "น้ำตกท่าแพ" อยู่ในลิสรายชื่อของคุณอย่างแน่นอน โดยน้ำตกแห่งนี้เรียกชื่อตามลำคลองที่ไหลผ่านหมู่บ้านท่าแพ ซึ่งอยู่ในท้องที่หมู่ที่ 14 ตำบลช้างกลาง อำเภอช้างกลางนั่นเอง
น้ำตกท่าแพ นครศรีธรรมราช อยู่ในท้องที่ หมู่ที่ 14 ตำบลช้างกลาง กิ่งอำเภอช้างกลาง การเดินทางจากตัวเมืองนครศรีธรรมราช ไปตามเส้นทางสาย นคร - จันดี (ทางหลวง 4015) ประมาณ 36 กิโลเมตร และมีทางแยกขวามือมีป้ายบอกทางเข้าน้ำตกท่าแพอีกประมาณ2 กิโลเมตร มีชั้นน้ำตก ประมาณ 10 ชั้น เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของชาวท้องถิ่นและผู้เดินทางไปยังจังหวัดกระบี่ และจังหวัดภูเก็ต โดยเส้นทางดังกล่าว
น้ำตกท่าแพ เป็นน้ำตกที่อยู่ในเขตพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติเขาหลวง อยู่ห่างจากน้ำตกกะโรมไปประมาณ 6 กิโลเมตร สามารถเดินทางโดยใช้ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 4016 ประมาณ 9 กิโลเมตร จะถึงสามแยกบ้านตาลจากนั้นแยกไปทางซ้ายเข้าทางหลวงจังหวัดหมายเลข 4015 ไปอีกประมาณ 29 กิโลเมตร จะถึงทางเข้าน้ำตกท่าแพ ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปประมาณ 2 กิโลเมตรโดยน้ำตกมีจำนวนชั้นน้ำตกถึง 10 ชั้น ได้แก่ หนานแพน้อย หนานนางครวญ หนานเตย หนานอ้ายซวย หนานปู หนานไผ่ และหนานน้ำราง ทางอุทยานแห่งชาติเปิดให้ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจเพียง 3 ชั้น สำหรับผู้สนใจศึกษาธรรมชาติทางอุทยานแห่งชาติได้จัดทำเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ถึงน้ำตกชั้นที่ 7 แต่ทั้งนี้ต้องอยู่ในความควบคุมดูแลของเจ้าหน้าที่
วัดสวนขัน
เล่าสืบกันมาว่าครั้งแรกได้ตั้งวัดขึ้นที่บริเวณควนวัดซึ่งเป็นเนินเตี้ยๆอยู่ติดกับถนนจันดี-สวนขัน (ตรงหมู่ที่๒ ตำบลสวนขันในปัจจุบัน) ไม่นานก็เลิกร้างไป ได้มาตั้งวัดใหม่อีกครั้งริมลำคลองมีแอ่งน้ำ ซึ่งใช้เป็นที่ปลูกศาลากลางน้ำ เป็นสถานที่บวชพระเณรแทนพระอุโบสถ อยู่มาไม่นานก็ต้องย้ายที่ใหม่อีกครั้ง แต่ใกล้สถานที่เดิม โดยอยู่เหนือลำน้ำขึ้นไปทางทิศตะวันออก เรียกชื่อว่า “วัดมังคุดด้วน” หรือเรียกสั้นๆว่า “วัดคุดด้วน” เนื่องจากมีต้นมังคุดอยู่ในบริเวณนั้น และมียอดหักด้วน จึงได้นำชื่อนี้มาใช้ในการเรียกชื่อวัด ลำคลองและหมู่บ้าน ซึ่งบริเวณที่กล่าวมาข้างต้นนี้คือที่ตั้งของวัดราษฎร์บำรุง(วัดใต้)ในปัจจุบัน
วัดตั้งอยู่ที่วัดคุดด้วนนี้มาหลายสิบปีน้ำได้เซาะตลิ่งพังลงทุกปี มักถูกน้ำท่วมบ่อยๆและสถานที่มีความคับแคบ จึงได้ย้ายวัดอีกครั้ง ได้ทำการย้ายวัดขึ้นไปทางเหนือของคลองคุดด้วน ได้สร้างวัดขึ้นมาใหม่ในป่าไม้ขันอันเป็นที่สวนของผู้มีจิตศรัทธาชื่อ “อินทร์”และ “จันทร์”โดยได้ถวายที่ให้วัดประมาณ ๑๐ ไร่ โดยมีชาวบ้านช่วยกันบริจาคคนละเล็กละน้อย และพร้อมใจกันตั้งชื่อวัดว่า “วัดสวนขัน” อันคำว่า “ขัน” นี้เป็นชื่อของต้นไม้ชนิดหนึ่ง มีผู้เล่าว่าในบริเวณวัดมีไม้ขันอยู่หลายต้น แต่ต่อมาได้ล้มหายตายจากไปหมดไม่เหลือไว้ให้เป็นสัญลักษณ์ของวัดอยู่เลย ไม้ขันเป็นพันธุ์ไม้ยืนต้น ใบขนาดกลาง ปลายใบเรียว เป็นไม้สกุลเดียวกับไม้หัน ไม้เตียว มีผลชาวบ้านนำมาปลอกเปลืองตำคั้นเอาน้ำมันรับประทานได้ พวกนักไสยศาสตร์นำเอาน้ำมันขันไปเข้าพิธีปลุกเสกทำน้ำมันเสน่ห์ก็มี เข้าใจว่าวัดสวนขันสร้างมาได้ประมาณ ๒๐๐ ปีแล้ว วัดสวนขันปัจจุบันตั้งอยู่ที่ ตำบลสวนขัน กิ่งอำเภอช้างกลาง จ.นครศรีฯ ก่อนหน้าที่พ่อท่านคล้ายจะมาเป็นเจ้าอาวาสนั้น สมภารทองเป็นเจ้าอาวาสวัดสวนขันอยู่ เมื่อท่านมรณภาพ พระอุปัชฌาย์กรายจึงเสนอพ่อท่านคล้ายให้ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดสวนขัน โดยพ่อท่านคล้ายเป็นเจ้าอาวาสวัดสวนขันยาวนานถึง ๖๕ ปี จนถึงวันมรณภาพ ต่อมาหลวงพ่อเดช ฐิตจาโร(พระครูพิศิษฐ์อรรถการ) ได้เป็นเจาอาวาสรูปต่อมา จนถึงปีพ.ศ.๒๕๓๖หลวงพ่อเดชได้มรณภาพลง และชาวบ้านพุทธบริษัทวัดสวนขันได้นิมนต์พระมหาบุญฤทธิ์ สมาจารโร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมะนาวหวาน มาเป็นเจ้าอาวาสวัดสวนขันจนถึงปัจจุบัน ปัจจุบันท่านมีสมณะศักดิ์เป็นพระครูกิตติวิมล
วัดตั้งอยู่ที่วัดคุดด้วนนี้มาหลายสิบปีน้ำได้เซาะตลิ่งพังลงทุกปี มักถูกน้ำท่วมบ่อยๆและสถานที่มีความคับแคบ จึงได้ย้ายวัดอีกครั้ง ได้ทำการย้ายวัดขึ้นไปทางเหนือของคลองคุดด้วน ได้สร้างวัดขึ้นมาใหม่ในป่าไม้ขันอันเป็นที่สวนของผู้มีจิตศรัทธาชื่อ “อินทร์”และ “จันทร์”โดยได้ถวายที่ให้วัดประมาณ ๑๐ ไร่ โดยมีชาวบ้านช่วยกันบริจาคคนละเล็กละน้อย และพร้อมใจกันตั้งชื่อวัดว่า “วัดสวนขัน” อันคำว่า “ขัน” นี้เป็นชื่อของต้นไม้ชนิดหนึ่ง มีผู้เล่าว่าในบริเวณวัดมีไม้ขันอยู่หลายต้น แต่ต่อมาได้ล้มหายตายจากไปหมดไม่เหลือไว้ให้เป็นสัญลักษณ์ของวัดอยู่เลย ไม้ขันเป็นพันธุ์ไม้ยืนต้น ใบขนาดกลาง ปลายใบเรียว เป็นไม้สกุลเดียวกับไม้หัน ไม้เตียว มีผลชาวบ้านนำมาปลอกเปลืองตำคั้นเอาน้ำมันรับประทานได้ พวกนักไสยศาสตร์นำเอาน้ำมันขันไปเข้าพิธีปลุกเสกทำน้ำมันเสน่ห์ก็มี เข้าใจว่าวัดสวนขันสร้างมาได้ประมาณ ๒๐๐ ปีแล้ว วัดสวนขันปัจจุบันตั้งอยู่ที่ ตำบลสวนขัน กิ่งอำเภอช้างกลาง จ.นครศรีฯ ก่อนหน้าที่พ่อท่านคล้ายจะมาเป็นเจ้าอาวาสนั้น สมภารทองเป็นเจ้าอาวาสวัดสวนขันอยู่ เมื่อท่านมรณภาพ พระอุปัชฌาย์กรายจึงเสนอพ่อท่านคล้ายให้ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดสวนขัน โดยพ่อท่านคล้ายเป็นเจ้าอาวาสวัดสวนขันยาวนานถึง ๖๕ ปี จนถึงวันมรณภาพ ต่อมาหลวงพ่อเดช ฐิตจาโร(พระครูพิศิษฐ์อรรถการ) ได้เป็นเจาอาวาสรูปต่อมา จนถึงปีพ.ศ.๒๕๓๖หลวงพ่อเดชได้มรณภาพลง และชาวบ้านพุทธบริษัทวัดสวนขันได้นิมนต์พระมหาบุญฤทธิ์ สมาจารโร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมะนาวหวาน มาเป็นเจ้าอาวาสวัดสวนขันจนถึงปัจจุบัน ปัจจุบันท่านมีสมณะศักดิ์เป็นพระครูกิตติวิมล
หลังจากที่พ่อท่านคล้ายได้มาเป็นเจ้าอาวาสอยู่วัดสวนขันแล้ว พ่อท่านได้สร้างความเจริญในทางวัตถุและทางด้านการศึกษา และปูชนียวัตถุไว้หลายอย่าง เช่นโรงเรียนวัดสวนขัน, กุฏิ ๑ หลัง, ครัว ๑ หลัง, ศาลาการเปรียญ, พระประธาน, พระพุทธไสยาสน์(พระบรรทมรัตน)ตลอดจนพระพุทธรูปต่างๆภายในวัด ท่าน้ำซึ่งอยู่หลังของที่ตั้งเมรุในปัจจุบัน ใช้เป็นที่ขึ้นลงเรื่อของญาติโยม สมัยนั้นมักเดินทางด้วยทางเรือหรือไม่ก็ทางเท้า ได้จัดหาครูสอนเพื่อสอนให้กับนักธรรมตรี โท เอก อีกทั้งตลอดชีวิตของท่านได้สร้างสาธารณประโยชน์ให้กับแผ่นดินไว้เป็นอันมาก
ปัจจุบันหากญาติโยมท่านใดได้มีโอกาสไปยังวัดสวนขัน ก็จะพบปูชนียวัตถุเหล่านี้ยังคงอยู่ ตลอดจนอัฐบริขารของพ่อท่านคล้ายที่ยังคงเก็บรักษาเอาไว้ภายในตึกสมบูรณ์สามัคคโยทิศพิศิษฐานุสรณ์ ซึ่งเริ่มต้นดำริให้สร้างโดยท่านพระครูแก้ว(หมุน) สหายธรรมซึ่งสนิทสนมกับพ่อท่านคล้ายในปีพ.ศ.๒๔๙๗ และตึกนี้สร้างเสร็จในปีพ.ศ.๒๕๐๑ ปัจจุบันยังคงอยู่