อำเภอช้างกลาง
เนื้อหา
[ซ่อน]ที่ตั้งและอาณาเขต
อำเภอช้างกลางตั้งอยู่ทางตอนกลางค่อนไปทางทิศตะวันตกของจังหวัด มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียง ดังนี้
- ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอฉวาง
- ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอลานสกา
- ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอทุ่งสงและอำเภอนาบอน
- ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอฉวาง
ประวัติ
ท้องที่อำเภอช้างกลางเดิมเป็นส่วนหนึ่งของอำเภอฉวาง กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศลงวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2539 แบ่งพื้นที่การปกครองออกมาตั้งเป็น กิ่งอำเภอช้างกลาง โดยให้มีผลบังคับต้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม ปีเดียวกัน[1] และต่อมาในวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ได้มีพระราชกฤษฎีกายกฐานะขึ้นเป็น อำเภอช้างกลาง โดยมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน ปีเดียวกัน[2]
การแบ่งเขตการปกครอง[แก้]
การปกครองส่วนภูมิภาค[แก้]
| ![]() |
การปกครองส่วนท้องถิ่น[แก้]
ท้องที่อำเภอช้างกลางประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 3 แห่ง ได้แก่
- เทศบาลตำบลหลักช้าง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลหลักช้างทั้งตำบล
- เทศบาลตำบลสวนขัน ครอบคลุมพื้นที่ตำบลสวนขันทั้งตำบล
- องค์การบริหารส่วนตำบลช้างกลาง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลช้างกลางทั้งตำบล
สถานที่สำคัญ[แก้]
- องค์การสวนยาง (สำนักงานใหญ่)
- ศูนย์ท่องเที่ยวเชิงเกษตร อำเภอช้างกลาง
- น้ำตกท่าแพ
- วัดสวนขัน
- วัดมะนาวหวาน
วัดสวนขัน
เล่าสืบกันมาว่าครั้งแรกได้ตั้งวัดขึ้นที่บริเวณควนวัดซึ่งเป็นเนินเตี้ยๆอยู่ติดกับถนนจันดี-สวนขัน (ตรงหมู่ที่๒ ตำบลสวนขันในปัจจุบัน) ไม่นานก็เลิกร้างไป ได้มาตั้งวัดใหม่อีกครั้งริมลำคลองมีแอ่งน้ำ ซึ่งใช้เป็นที่ปลูกศาลากลางน้ำ เป็นสถานที่บวชพระเณรแทนพระอุโบสถ อยู่มาไม่นานก็ต้องย้ายที่ใหม่อีกครั้ง แต่ใกล้สถานที่เดิม โดยอยู่เหนือลำน้ำขึ้นไปทางทิศตะวันออก เรียกชื่อว่า “วัดมังคุดด้วน” หรือเรียกสั้นๆว่า “วัดคุดด้วน” เนื่องจากมีต้นมังคุดอยู่ในบริเวณนั้น และมียอดหักด้วน จึงได้นำชื่อนี้มาใช้ในการเรียกชื่อวัด ลำคลองและหมู่บ้าน ซึ่งบริเวณที่กล่าวมาข้างต้นนี้คือที่ตั้งของวัดราษฎร์บำรุง(วัดใต้)ในปัจจุบัน
วัดตั้งอยู่ที่วัดคุดด้วนนี้มาหลายสิบปีน้ำได้เซาะตลิ่งพังลงทุกปี มักถูกน้ำท่วมบ่อยๆและสถานที่มีความคับแคบ จึงได้ย้ายวัดอีกครั้ง ได้ทำการย้ายวัดขึ้นไปทางเหนือของคลองคุดด้วน ได้สร้างวัดขึ้นมาใหม่ในป่าไม้ขันอันเป็นที่สวนของผู้มีจิตศรัทธาชื่อ “อินทร์”และ “จันทร์”โดยได้ถวายที่ให้วัดประมาณ ๑๐ ไร่ โดยมีชาวบ้านช่วยกันบริจาคคนละเล็กละน้อย และพร้อมใจกันตั้งชื่อวัดว่า “วัดสวนขัน” อันคำว่า “ขัน” นี้เป็นชื่อของต้นไม้ชนิดหนึ่ง มีผู้เล่าว่าในบริเวณวัดมีไม้ขันอยู่หลายต้น แต่ต่อมาได้ล้มหายตายจากไปหมดไม่เหลือไว้ให้เป็นสัญลักษณ์ของวัดอยู่เลย ไม้ขันเป็นพันธุ์ไม้ยืนต้น ใบขนาดกลาง ปลายใบเรียว เป็นไม้สกุลเดียวกับไม้หัน ไม้เตียว มีผลชาวบ้านนำมาปลอกเปลืองตำคั้นเอาน้ำมันรับประทานได้ พวกนักไสยศาสตร์นำเอาน้ำมันขันไปเข้าพิธีปลุกเสกทำน้ำมันเสน่ห์ก็มี เข้าใจว่าวัดสวนขันสร้างมาได้ประมาณ ๒๐๐ ปีแล้ว วัดสวนขันปัจจุบันตั้งอยู่ที่ ตำบลสวนขัน กิ่งอำเภอช้างกลาง จ.นครศรีฯ ก่อนหน้าที่พ่อท่านคล้ายจะมาเป็นเจ้าอาวาสนั้น สมภารทองเป็นเจ้าอาวาสวัดสวนขันอยู่ เมื่อท่านมรณภาพ พระอุปัชฌาย์กรายจึงเสนอพ่อท่านคล้ายให้ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดสวนขัน โดยพ่อท่านคล้ายเป็นเจ้าอาวาสวัดสวนขันยาวนานถึง ๖๕ ปี จนถึงวันมรณภาพ ต่อมาหลวงพ่อเดช ฐิตจาโร(พระครูพิศิษฐ์อรรถการ) ได้เป็นเจาอาวาสรูปต่อมา จนถึงปีพ.ศ.๒๕๓๖หลวงพ่อเดชได้มรณภาพลง และชาวบ้านพุทธบริษัทวัดสวนขันได้นิมนต์พระมหาบุญฤทธิ์ สมาจารโร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมะนาวหวาน มาเป็นเจ้าอาวาสวัดสวนขันจนถึงปัจจุบัน ปัจจุบันท่านมีสมณะศักดิ์เป็นพระครูกิตติวิมล
วัดธาตุน้อย

วัดธาตุน้อย หรือ วัดพระธาตุน้อย อีกหนึ่งศาสนสถานที่มีความสำคัญและยังเป็นที่ตั้งของเจดีย์พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์ โดยวัดนั้นตั้งอยู่ในเขตตำบลหลักช้าง กิ่งอำเภอช้างกลาง จังหวัดนครศรีธรรมราช ตั้งขึ้นโดยความประสงค์ของพ่อท่านคล้าย (พระครูพิศิษฐ์อรรถการ) พระเกจิอาจารย์ที่ชาวใต้เลื่อมใสศรัทธาอย่างสูงยิ่งรูปหนึ่ง วัดธาตุน้อยมีเนื้อที่ 46 ไร่ สร้างขึ้นบนที่ดินซึ่งนายกลับ งามพร้อม ถวายแด่พ่อท่านคล้าย ท่านจึงได้สร้างพระธาตุน้อยขึ้นใน ปี 2504
ปัจจุบันสรีระพ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์ ประดิษฐ์ฐานอยู่ในองค์พระเจดีย์ ณ สถานที่นี้ จึงเป็นเจดีย์อนุสรณ์สถานพ่อท่านคล้ายอีกด้วย สังขารพ่อท่านคล้ายซึ่งว่ากันว่าแข็งเป็นหิน ที่ชาวบ้านนับถือและศรัทธาด้วยแล้วก็ยิ่งทำให้ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาสักการบูชากันมากยิ่งขึ้น
การเดินทางไปยังวัดธาตุน้อยนั้นสามารถเดินทางไปได้หลายเส้นทางดังนี้ วิ่งมาจากตัว อ.เมือง นั้น ให้วิ่งไปมาทาง อ.ลานสกา พอเจอแยกลานสกา เลี้ยวซ้ายวิ่งตรงไปเรื่อย ๆ อีกราว 50 กม. จนพบ "สะพานพ่อท่านคล้าย" ก็ให้เตรียมตัวได้เลย จากนั้นลงสะพานก็เลี้ยวซ้ายเข้าวัด
ปัจจุบันสรีระพ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์ ประดิษฐ์ฐานอยู่ในองค์พระเจดีย์ ณ สถานที่นี้ จึงเป็นเจดีย์อนุสรณ์สถานพ่อท่านคล้ายอีกด้วย สังขารพ่อท่านคล้ายซึ่งว่ากันว่าแข็งเป็นหิน ที่ชาวบ้านนับถือและศรัทธาด้วยแล้วก็ยิ่งทำให้ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาสักการบูชากันมากยิ่งขึ้น
การเดินทางไปยังวัดธาตุน้อยนั้นสามารถเดินทางไปได้หลายเส้นทางดังนี้ วิ่งมาจากตัว อ.เมือง นั้น ให้วิ่งไปมาทาง อ.ลานสกา พอเจอแยกลานสกา เลี้ยวซ้ายวิ่งตรงไปเรื่อย ๆ อีกราว 50 กม. จนพบ "สะพานพ่อท่านคล้าย" ก็ให้เตรียมตัวได้เลย จากนั้นลงสะพานก็เลี้ยวซ้ายเข้าวัด
วัดมะนาวหวาน

- ประวัติความเป็นมาของวัดมะนาวหวาน
วัดมะนาวหวาน : เป็นวัดที่สร้างขึ้นในช่วงสมัยอยุธยาตอนกลาง ใน พ.ศ. 2225 ไม่ทราบแน่ชัดว่าใครเป็นผู้สร้าง แต่เชื่อกันว่ามีสมภารอิน และสมภารจันเป็นผู้ก่อตั้งไม่ เป็นหลักฐานที่แน่ชัด สภาพปัจจุบันวัดมะนาวหวาน ยังเป็นศูนย์กลางของชุมชน และรวมทั้งเป็นที่พึ่งของพุทธศาสนิกชน และยังใช้วัดเป็นสถานที่ประกอบการพิธีกรรมทางศาสนาอยู่ - ด้านบทบาทของวัดมะนาวหวาน ปรากฏว่าวัดมะนาวหวานมีบทบาทในการทำนุบำรุงเผยแพร่พระพุทธศาสนา เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา สนับสนุนการศึกษาของชุนชนรวมถึงด้านสังคมสงเคราะห์ การพัฒนาท้องถิ่นให้เจริญรุ่งเรืองและมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของชุมชน
วัด - ศูนย์รวมของชุมชน : การใช้ศักยภาพใช้กำลังคนระดมแนวคิดโดยการให้บริการ ให้เป็นแหล่งร่วมจิตใจให้มีการศึกษาอบรม รวมทั้งเป็นแหล่งการการประสานงานระหว่างนั้น วัดและโรงเรียน การใช้แนวคิดนำเสนอ การรับกู้ทางธรรมชาติ โดยนำหลักธรรมคำสอนใน พุทธศาสนามาสอดแทรกให้เกิดแนวคิดรูปธรรมโดยสถานที่ในการทำกิจกรรมของชุมชน ในลักษณะแบ่งพื้นที่ของวัดออกเป็นส่วน ๆ เช่น อุทยาน การศึกษา ที่เป็นแหล่งการพัฒนาการเรียนรู้ ตามนโยบายแผนพัฒนาฉบับที่ 8 เป็นแหล่งกระจายข่าวในชุมชน เป็นแหล่งประกอบศาสนกิจและการ และการนำเสนอการเรียนรู้ในระบบชุมชน ในการเรียนรู้จากการอาศัยธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม วิทยากรชุมชน เป็นองค์กรการเรียนรู้
No comments:
Post a Comment